กลวิธีในการแปล
2. การใช้วลีหรือประโยคแทนคำ
1. การเติมคำอธิบาย
คำอธิบายนี้อาจเติมลงไปได้
2 วิธีคือ เติมลงไปในเนื้อหา หรือใส่คำอธิบายในรูปของเชิงอรรถ
(footnote) หรือหมายเหตุ และนำมาไว้ตรงท้ายหน้ากระดาษ
โดยมีตัวเลขชี้โยงบอกว่าเป็นข้ออธิบายของคำนั้นๆ2. การใช้วลีหรือประโยคแทนคำ
นอกจากยืมคำจากต้นฉบับลงมาใช้ในฉบับแปลพร้อมกับเติมคำอธิบายลงไปแล้ว
ผู้แปลอาจแก้ปัญหาการไม่มีคำศัพท์ที่เทียบเคียงได้อีกอย่างหนึ่งคือ
ใช้วลีหรือประโยคที่บอกลักษณะของสิ่งนั้น
3. การใช้คำที่อ้างอิงถึงความหมายที่กว้างขึ้นแทนคำที่อ้างอิงถึงสิ่งที่เฉพาะกว่า
3. การใช้คำที่อ้างอิงถึงความหมายที่กว้างขึ้นแทนคำที่อ้างอิงถึงสิ่งที่เฉพาะกว่า
ในกรณีที่คำในต้นฉบับมีความหมายอ้างอิงถึงสิ่งหรือกิจกรรมซึ่งไม่มีในภาษาของฉบับแปลทั้งสิ่งนั้นหรือกิจกรรมนั้นไม่เป็นที่รู้จักในสังคมของผู้อ่านงานแปล
วิธีที่ผู้แปลนิยมทำอีกแบบหนึ่ง
คือหาคำที่มีความหมายอ้างอิงถึงสิ่งของหรือกิจกรรมในระดับกว้างซึ่งสามารถครอบคลุมเอาคำที่เป็นปัญหานั้นไว้ด้วย
4. การเติมตัวเชื่อมระหว่างกลุ่มความคิดต่างๆ
4. การเติมตัวเชื่อมระหว่างกลุ่มความคิดต่างๆ
ภาษาบางภาษา
เช่น ภาษาอังกฤษแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มความคิด (ประโยคหรือวลี) ด้วยโครงสร้างของประโยคซึ่งไม่มีใช้ในภาษาไทย
ในกรณีเช่นนี้วิธีที่จะแสดงความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มความคิดเหล่านี้คือ
การใช้คำหรือสำนวนที่บอกความสัมพันธ์นั้นๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายได้ชัดเจน
5. การตัดคำหรือสำนวนทิ้งไป
5. การตัดคำหรือสำนวนทิ้งไป
คำ
หรือสำนวนซึ่งมีความหมายอ้างอิงถึงสิ่งที่ไม่มีในภาษาฉบับแปล
และไม่ใช่ความหมายที่สำคัญนักของต้นฉบับอาจจะถูกละไปไม่ปรากฏในฉบับแปลได้ในกรณีเดียว
คือ เมื่อการละคำหรือข้อความนั้นซึ่งแม้จะทำให้มีความหมายต้องขาดไปบ้าง
จะไม่ทำให้บรรยากาศ และสาระสำคัญของต้นฉบับเยไป
คำหรือข้อความที่ตัดออกไปนั้นต้องสั้นและเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้แปลไม่ควรตัดข้อความทั้งตอนหรือทั้งข้อทิ้งไปแม้ว่าจะเห็นว่าไม่สำคัญ รายละเอียดมากเกินไป
หรือด้วยเหตุผลใดๆ ของผู้แปลเอง
การปรับระดับโครงสร้าง
1. ระดับเสียง หลักสำคัญคือการใช้ตัวอักษรในภาษาฉบับแปล ที่แทนเสียงที่ตรงหรือใกล้เคียงกับเสียงของคำในต้นฉบับ
การปรับในระดับเสียงใช้ในการถ่ายทอดชื่อ หรือการยืมคำเดิมลงมาใช้ในบทแปล หรือที่เรียกกันว่าการทับศัพท์
2. ระดับโครงสร้างของคำ โครงสร้างของคำของแต่ละภาษามีทั้งทีเหมือนกันและแตกต่างกัน
ส่วนที่ต่างกันและอาจเป็นปัญหาในการแปลมี 2 ประการคือ (1) ความแตกต่างด้านคุณสมบัติ
และการทำงานของคำตามหน้าที่ทางไววยากรณ์ในประโยค (2) ความแตกต่างในด้านการประกอบคำด้วยหน่วยเสียงหรือหน่วยคำพิเศษเพื่อบอกความหมายเพิ่งเติมในด้านเพศ
(gender) พจน์ (number) กาล (tense)
และความหมายด้านอื่นๆ อีก
3. ระดับประโยค
การปรับโครงสร้างในระดับประโยคเป็นสิ่งจำเป็นและผู้แปลจะได้พบอยู่เสมอๆ